ฮีโน่ประเทศไทย ทุ่ม 4,000 ล้านผุดฐานการผลิตใหม่

ฮีโน่มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น, ฮีโน่มอเตอร์สแมนูแฟคเจอริ่ง และบริษัทฮีโน่มอเตอร์สเซลส์ ประกาศลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ก่อตั้งฐานการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และขยายการบริการแบบบูรณาการเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจของลูกค้า ชูความสำเร็จด้วยรางวัลสถานประกอบการต้นแบบด้านความปลอดภัยปี 2562

บริษัท ฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด (HML) สำนักงานใหญ่ เมืองฮีโน่ กรุงโตเกียว โดยกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานกรรมการบริหาร มร.โยชิโอะ ชิโมะ และ ฮีโน่มอเตอร์ส แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด สำนักงานใหญ่ สำโรง จ. สมุทรปราการ (HMMT) โดยคุณ สมชาย เปลี่ยนแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตในประเทศไทย เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “กลยุทธ์บริษัทปี 2025 (พ.ศ.2568)*” ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดี HMLและHMMT จะสร้างศูนย์กลางการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สำคัญในประเทศไทย เพื่อเร่งพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน

โดยการแต่งตั้ง คุณสมชาย เปลี่ยนแก้ว ซึ่งมีประสบการณ์และผลการทำงานอย่างยอดเยี่ยมกับ HMMT มาอย่างยาวนาน ให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ HMMT  เพื่อสร้างรากฐานองค์กรที่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศไทยให้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว  โดยการสร้างศูนย์การผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่อำเภอบางบ่อ สมุทรปราการ  เพื่อเป็นศูนย์การวางแผนผลิตภัณฑ์ การพัฒนา และการผลิตที่เหมาะสมกับภูมิภาคอาเซียน ศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 400,000 ตรม.(250 ไร่) โดยจะเริ่มก่อสร้างต้นเดือนกรกฏาคม 2562 และคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินงานในปี 2564 ศูนย์นี้ประกอบด้วยศูนย์การผลิตที่เป็นโรงงานแห่งใหม่ และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งมีสนามทดสอบพร้อมอาคารปฏิบัติการ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 11,500 ล้านเยน (3,560 ล้านบาท)

คุณสมชาย เปลี่ยนแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ HMMT กล่าวว่า “HMMT จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อดำเนินโครงการให้ประสบความสำเร็จเพื่อให้บริษัทของเราเติบโตอย่างยั่งยืน เรามีเป้าหมายในการให้บริการลูกค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด จัดหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดโดยการผลิตรถยนต์แต่ละคันที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละท่านได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ศูนย์กลางการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้รวมการวางแผนผลิตภัณฑ์ การพัฒนา และการผลิต รวมทั้งการบริการแบบบูรณาการในอาเซียนไว้ด้วยกัน HMMTจะร่วมมือและพัฒนาร่วมกับฮีโน่ในอาเซียนเพื่อการเจริญเติบโตและเสริมความแข็งแกร่งร่วมกันในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน

กลุ่มบริษัทฮีโน่จะปฏิรูปโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนไปจนถึงปี 2025 (พ.ศ.2568) โดยกำหนดให้ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน และเป็นเสาหลักแห่งที่สองถัดจากญี่ปุ่น นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญและเป็นผู้ขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ การบริการแบบบูรณาการภายในภูมิภาคอาเซียน

ศูนย์แห่งใหม่จะเป็นศูนย์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งในการวางแผน การพัฒนาการผลิตสินค้าในประเทศไทย เป็นศูนย์ที่ได้รับการออกแบบให้มีความสามารถในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภูมิภาคอาเซียน ศูนย์แห่งนี้จะพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับภูมิภาคโดยสร้างสนามทดสอบรถบรรทุก เพื่อให้ประเทศไทยสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ โดยการรวมฟังก์ชั่นการผลิตเข้าด้วยกันเพื่อการปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากโรงงาน

โคกะ (Koga Plant) ซึ่งเป็นโรงงานแม่ในประเทศญี่ปุ่นที่มีส่วนร่วมในการสร้างระบบที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถผลิตสินค้าที่แข่งขันได้และตรงกับความต้องการของลูกค้าในระยะเวลาที่เหมาะสม ศูนย์การผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเริ่มผลิตรถยนต์บรรทุกและรถยนต์โดยสารสำหรับตลาดประเทศไทยในปี 2564 และจะเริ่มผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดในภูมิภาคอาเซียนประมาณ ปี 2567

นอกจากการสร้างระบบการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว บริษัท ฮีโน่มอเตอร์สเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด (HMST) (สำนักงานใหญ่: เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยกรรมการผู้จัดการใหญ่: มร.ชิน นาคามูร่า) จะเสริมสร้างการบริการแบบบูรณาการ โดยยกระดับความสามารถวางรากฐานเพื่อรองรับธุรกิจของลูกค้าในประเทศไทย โดยจัดอบรมการขับขี่ให้กับลูกค้า และอบรมเจ้าหน้าที่ของตัวแทนจำหน่ายเพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการพัฒนากิจกรรมการให้บริการแบบบูรณาการอย่างเต็มรูปแบบ โดยการเผยแพร่องค์ความรู้ให้แก่ลูกค้าทั่วภูมิภาคอาเซียน

เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ตามสโลแกนที่ว่า “เป็นมากกว่ารถบรรทุกและรถยนต์โดยสาร” ฮีโน่จึงให้ความสำคัญกับแนวทางสามประการ นั่นคือ “(1) ผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่มาพร้อมกับความปลอดภัยและเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม” “ (2) การบริการแบบบูรณาการ จะปรับเปลี่ยนตามรถยนต์แต่ละคัน”  และ “(3) พื้นที่กิจกรรมใหม่” เพื่อสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและสังคมของเราอย่างต่อเนื่อง ฮีโน่มุ่งมั่นที่จะทำทุกสิ่งที่ท้าทาย เผชิญกับเป้าหมายในการสร้างโครงสร้างธุรกิจของบริษัทโดยตระหนักถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน

คุณสมชาย กล่าวต่ออีกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ทุ่มเทพัฒนาการผลิต ให้การสนับสนุนกิจกรรมทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพบุคลากร ด้วยมาตรฐานสากล โดยล่าสุดฮีโน่ สาขาบางพลี รับรางวัลสถานประกอบการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประจำปี 2562 ในระดับเกียรติบัตรเพชร เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน โรงงานสำโรง รับเกียรติบัตรเพชร เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และโรงงานบางปะกง รับเกียรติบัตรทอง เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งรางวัลฯ ดังกล่าวนี้สื่อให้เห็นถึงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวนามัย และสภาแวดล้อม ภายในบริษัทที่ดี

ด้านกระทรวงแรงงาน รายงานว่า  รางวัลสถานประกอบการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกลไกทวิภาคีในการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน รวมทั้งยกย่อง เชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่ได้มีความมุ่งมั่นในการยกระดับการบริหารจัดการด้านแรงงานให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ตลอดจนเป็นแรงจูงใจและต้นแบบให้สถานประกอบกิจการอื่นนำไปใช้ในการยกระดับการบริหารจัดการด้านแรงงาน

กระทรวงแรงงาน จึงได้จัดให้มีการประกวดสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการแรงงานยอดเยี่ยม หรือ Thailand Labour Management Excellence Award ขึ้น ซึ่งสถานประกอบกิจการที่จะได้รับรางวัลจะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกจะพิจารณาจากระยะเวลาในการธำรงรักษารางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานในระดับดีเด่น และธำรงรักษามาตรฐานแรงงานไทย (มรท.8001-2553) และได้ผลคะแนนรวมสูงสุด โดยสถานประกอบกิจการที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับรางวัลในปี 2562 นี้ มีจำนวน 3 รางวัล แบ่งเป็น สถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ (ลูกจ้างตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป), สถานประกอบกิจการขนาดกลาง (ลูกจ้าง 300 ถึง 999 คน), และสถานประกอบกิจการขนาดเล็ก (ลูกจ้าง 1 ถึง 299 คน)

นอกจากนี้ในวันดังกล่าวจะมีการมอบโล่รางวัลจากนายกรัฐมนตรีและเกียรติบัตรจากกระทรวงแรงงานให้แก่สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อม รางวัลคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน รางวัลหน่วยงาน ความปลอดภัย ดีเด่นระดับประเทศ และรางวัลเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานดีเด่น อีกกว่า 400 รางวัล

“การจัดกิจกรรมดังกล่าวนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างลูกจ้าง นายจ้างตามกลไกทวิภาคี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชีวิตของผู้ใช้แรงงาน และสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่ลูกจ้างจะมีสวัสดิภาพ มีความปลอดภัยในการทำงาน

  • date : 07-04-2020