40 ปี ปตท. สานพลังสู่ความยั่งยืน

40 ปี ปตท. สานพลังสู่ความยั่งยืน  ภายใต้แนวทางการทำธุรกิจแบบมีส่วนร่วม ตอบโจทย์หลักของความยั่งยืน 3 ด้านคือ People , Planet และ Prosperity เผยงบลงทุนกลุ่มปีนี้ทะลุ 4.5 แสนล้านบาท 9 เดือนกำไรสุทธิทะลุ 1 แสนล้าน ด้านผู้บริหารเผยรายได้เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ย 37% แม้ต้องแบกรับความเสี่ยงตราสารอนุพันธ์เพิ่ม และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง

การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2521 ซึ่งตรงกับ ที่ทั่วโลกกำลังเกิดภาวะน้ำมันขาดแคลน หรือที่เรียกกันว่า วิกฤติการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 2โดยรัฐบาลในขณะนั้น มีวัตถุประสงค์ให้การปิโตรเลียมฯ เร่งจัดหาน้ำมันมาใช้ในประเทศให้เพียงพออย่างเร่งด่วน พร้อมกับจัดหาปิโตรเลียมจากแหล่งในประเทศเพิ่มเติม เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพียงฝ่ายเดียว

ภาระอันหนักหน่วงดังกล่าว ได้เป็นแรงสนับสนุนให้ ปตท. มุ่งจัดหาปิโตรเลียมจากแหล่งในประเทศเพิ่มเติม จนเป็นผลให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านพลังงานได้ในระดับหนึ่ง และช่วย ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก

1 ตุลาคม 2544 หรือ 23 ปีต่อมา บริษัท ปตท. จำกัด ( มหาชน ) หรือ ปตท. ได้ถูกจดทะเบียนจัดตั้งขึ้น โดยการแปลงสภาพ จากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย รับโอนกิจการ สิทธิ หนี้ ความรับผิด สินทรัพย์ และพนักงานทั้งหมด ภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542

จวบจนวันนี้ ปตท.กำลังจะมีอายุครบ 40 ปีในเดือนธันวาคม หลังจาก ได้ทำหน้าที่ “บริษัทน้ำมันแห่งชาติ” ที่พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถแข่งขันกับบริษัทพลังงานทั้งในและนอกประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้คนไทย

ภายใต้แนวทางการทำธุรกิจแบบมีส่วนร่วม ตอบโจทย์หลักของความยั่งยืน 3 ด้านคือ People , Planet และ Prosperity ในการมุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

การเติบโตของ ปตท. ภายใต้หลัก 3 P นี้ ได้สะท้อนอยู่ในทุกภารกิจ และกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสังคมและชุมชนให้แข็งแรง ไปพร้อมกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วนในสังคมไทย ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้สำนึกของหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ของปตท

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้กลุ่มปตท.ทั้งหมดจะเพิ่มการลงทุนเป็น 450,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนของปตท. 130,000 ล้านบาท และการลงทุนของทั้งเครือ 320,000 ล้านบาท แบ่งเป็น บริษัท โกลบอล ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) หรือจีพีเอสซี 140,000 ล้านบาท บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ ปตท.สผ. 60,000 ล้านบาท บริษัท โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือจีซี 50,000 ล้านบาท

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) 40,000 ล้านบาท บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) 30,000 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการที่รอการลงทุนเพิ่มเติม อาทิ การสร้างคลังก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) การสร้างท่อก๊าซเส้นที่ 5 เชื่อมระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตก และการขยายเส้นทางโลจิสติกส์เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ น้ำมันอากาศยาน

นายชาญศิลป์กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ของทั้งกลุ่มจะอยู่ที่ปีละ 300,000-400,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันนโยบายของรัฐบาลให้ได้ตามเป้าหมายเพื่อยกระดับประเทศไทยครั้งสำคัญ

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  ปตท.สผ. เปิดเผยว่าในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มปริมาณการขายขึ้น 5% จากปีก่อนที่ทำได้ 318,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นแผนเติบโตระยะยาวไปจนถึงปี 2573 ขณะที่ปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนที่ 60,000 ล้านบาทในการดำเนินธุรกิจซึ่งจะเน้นในด้านการสำรวจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้กำไรขั้นต้นดีกว่า ทั้งนี้การร่วมลงทุนและเข้าซื้อกิจการ(M&A) จะเห็นการสรุปเร็ว ๆ นี้ซึ่งอยู่ในแถบประเทศที่มีการทำธุรกิจอยู่แล้ว อาทิ เมียนมา มาเลเซีย ออสเตรเลีย โอมาน และยูเออี

ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทจะดำเนินการขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมทั้งหมด 9 แห่ง แบ่งเป็นเมียนมา 5 แห่ง มาเลเซีย 3 แห่งและออสเตรเลีย 1 แห่ง ซึ่งในแหล่งเมียนมามี 1 แห่งที่เป็นเป็นแหล่งน้ำลึก ถ้ามีการขุดเจาะสำเร็จ คาดว่าจะเป็นโมเดลให้รัฐบาลเพื่อที่จะเปิดสำรวจให้พื้นที่อันดามัน ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีปริมาณสำรอง 5 ปี อยู่ที่ 670 ล้านบาร์เรล ซึ่งหากแหล่งเอราวัณและบงกชที่ได้สัญญาใหม่เข้ามาเพิ่มจะเป็น 900 ล้านบาร์เรลสามารถสำรองได้ 7 ปี

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่และกรรมการผู้จัดการใหญ่ จีพีเอสซี กล่าวว่า ปีนี้ได้เตรียมงบประมาณตามที่ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นวงเงิน 140,000 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อโรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงานให้ได้ตามแผน และปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) นอกจากนี้จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และเขื่อนพลังงานน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้เตรียมจับมือกับบริษัท ปตท. ส่วนแผนการลงทุน5ปีอยู่ระหว่างการทบทวนตัวเลขที่เหมาะสม เนื่องจากแผนการซื้อหุ้นโกลว์ยังไม่สำเร็จ

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ จีซี กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนี้ถือว่าไม่น่ากังวลนักจึงมั่นใจว่าจีซีจะรักษาผลประกอบการได้ตามเป้าหมาย และก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคญในปี 2020 หรือ 2563 เพราะมีการลงทุนช่วง3ปี(2561-63)ถึง 140,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะมีการลงทุนประมาณ50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนตามแผน 40,000 ล้านบาท ลงทุนตั้งโรงงานรีไซเคิลเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 3,000 ล้านบาท และร่วมลงทุนประมาณ 5,000-1หมื่นล้านบาท

ด้าน น.ส.พรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยกำไรสุทธิ 30,328.91 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.05 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 22,331.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.77 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 7,997.25 ล้านบาท คิดเป็น 35.81%

ขณะที่ผลการดำเนินงวด 9 เดือน กำไรสุทธิ 100,145.70 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.48 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 99,816.39 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.45 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 329.31 ล้านบาท หรือ 0.33%

น.ส.พรรณนลิน กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 61 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,718,738 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254,975 ล้านบาท หรือ 17.4% โดยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่เพิ่มขึ้นจาก 51.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็น 70.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือ 37.2% ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาตัดจำหน่าย (EBITDA) จํานวน 286,953 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35,771 ล้านบาท หรือ 14.2% จากธุรกิจสํารวจและผลิตฯ ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้

ส่วนผลการดําเนินงานของกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ ดีขึ้นในเกือบทุกหน่วยธุรกิจ โดยเฉพาะจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ธุรกิจการจัดหาและจัดจําหน่ายก๊าซฯ ที่ดีขึ้นทั้งปริมาณขาย และราคาขาย และธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวดีขึ้น ธุรกิจการกลั่นมีผลการดําเนินงานโดยรวมดีขึ้นจาก Accounting GRM ที่ปรับสูงขึ้นจากกําไรสต๊อกน้ํามันที่เพิ่มขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ํามันดิบ รวมถึงผลการดําเนินงานธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นตามราคาผลิตภัณฑ์ และปริมาณขาย ที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ กลุ่ม ปตท. มีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น บวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าในอัตราที่น้อยกว่าปีก่อน ทำให้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง รวมถึงมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น และจากการลดลงของสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ

ด้านฐานะการดำเนินงาน ณ 30 พฤศจิกายน 2561 บริษัท ปตท. มีสินทรัพย์รวม 2,345,669 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,051,615 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นจํานวนรวม 1,294,054 ล้านบาท

  • date : 17-06-2019